การทำงานบนที่สูง ต้องอบรมที่สูงอย่างไรให้ปลอดภัยและผ่านการตรวจสอบ

23 จำนวนผู้เข้าชม  | 

แนวทางปฏิบัติในการอบรมที่สูงให้ปลอดภัยและผ่านการตรวจสอบ

ทำไมการอบรมที่สูง จึงมีความสำคัญของการทำงานบนที่สูงให้ปลอดภัย

การทำงานบนที่สูง (Working at Height) ถือเป็นการงานที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดประเภทหนึ่ง เนื่องจากอุบัติเหตุจากการพลัดตก มักสร้างความสูญเสียทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน กฎหมายแรงงานและกฎหมายความปลอดภัยในการทำงานของไทย จึงกำหนดให้นายจ้างต้องจัดการ อบรมการทำงานบนที่สูง (อบรมที่สูง) ให้แก่พนักงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจและทักษะที่จำเป็น รวมถึงช่วยให้องค์กรผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานภาครัฐและสอดคล้องตามมาตรฐานสากล

ทำไมการทำงานบนที่สูงจึงมีความเสี่ยง?

  • อันตรายจากการพลัดตก – สถิติจากหลายหน่วยงานพบว่าอุบัติเหตุส่วนใหญ่ที่ร้ายแรง มักมาจากการตกจากบันได นั่งร้านหรือโครงสร้างสูง จากข้อมูลของNational Safety Council (NSC, 2023) ระบุว่าในปี 2566 (ค.ศ. 2023) ประมาณ ร้อยละ 33 ของการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในการทำงาน เกิดจากการตกจากที่สูง โดยเหตุผลที่มักพบ ได้แก่ ขาดระบบป้องกันการตก, สภาพแวดล้อมไม่ปลอดภัย เช่น พื้นลื่นหรือสภาพอากาศแปรปรวน, อุปกรณ์ไม่เหมาะสมหรือไม่ได้รับการตรวจสอบ, รวมถึงความประมาทหรือขาดการอบรมที่สูง
  • สภาพแวดล้อมไม่มั่นคง – เช่น พื้นที่ลื่น ลมแรง วัสดุไม่แข็งแรงหรืออุปกรณ์ป้องกันที่ไม่ได้มาตรฐาน
  • ขาดความรู้ด้านความปลอดภัย – พนักงานจำนวนมากไม่ได้รับการฝึกอบรมอย่างถูกต้อง ทำให้ไม่รู้วิธีการใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) อย่างถูกวิธี
  • การวางแผนไม่เพียงพอ – ไม่มีการประเมินความเสี่ยงและวางระบบความปลอดภัยก่อนเริ่มงาน

ความสำคัญของการอบรมที่สูง

การอบรมการทำงานบนที่สูงไม่ได้เป็นเพียงแค่ข้อบังคับตามกฎหมาย แต่เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยปกป้องชีวิตและสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานอย่างแท้จริง การอบรมที่ได้มาตรฐานจะมีประโยชน์ต่อพนักงาน ดังนี้

  • เข้าใจถึงความเสี่ยงและอันตราย : พนักงานจะได้รับรู้ถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น เช่น การพลัดตก การถูกวัตถุตกใส่หรือความเสี่ยงจากสภาพแวดล้อม
  • พัฒนาทักษะและความชำนาญ : การฝึกปฏิบัติจริงในการอบรมที่สูงจะช่วยให้พนักงานสามารถรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินและปฏิบัติงานได้อย่างปลอดภัย
  • เรียนรู้วิธีการทำงานที่ถูกต้อง : รวมถึงการเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล (PPE) ที่เหมาะสม, การตรวจสอบอุปกรณ์และการติดตั้งระบบป้องกันการตก
  • ปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับ : เพื่อให้แน่ใจว่าการปฏิบัติงานเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน

หลักสูตรการอบรมที่สูงควรครอบคลุมอะไรบ้าง

  1.  ภาคทฤษฎี (ในห้องเรียน)
    • กฎหมายและข้อบังคับ : สรุปข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการทำงานบนที่สูง เช่น กฎกระทรวงแรงงานว่าด้วยการทำงานในที่อับอากาศและบนที่สูง
    • ประเภทของงานที่สูง : เช่น การทำงานบนนั่งร้าน, หลังคา, เสาไฟฟ้าหรือแพลตฟอร์ม
    • การประเมินความเสี่ยง : สอนวิธีระบุและประเมินอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ทำงาน
    • อุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล (PPE) : อธิบายประเภทของอุปกรณ์ป้องกันการตก เช่น เข็มขัดนิรภัยเต็มตัว (Full body harness), เชือกช่วยชีวิต (Lifeline), Shock-Absorbing Lanyards และ Karabiners รวมถึงวิธีการตรวจสอบและบำรุงรักษา
    • ระบบป้องกันการตก (Fall Protection System) : สอนความรู้เกี่ยวกับระบบต่าง ๆ เช่น Active Fall Protection (ระบบที่ต้องใช้อุปกรณ์ส่วนตัว) และ Passive Fall Protection (เช่น ราวกันตก, ตาข่ายนิรภัย)
      ขั้นตอนการปฏิบัติงาน: อธิบายขั้นตอนการทำงานที่ปลอดภัยตั้งแต่การวางแผน การเตรียมอุปกรณ์ ไปจนถึงการทำงานจริงและการเก็บงาน
  2.  ภาคปฏิบัติ (สถานีจำลอง) : ส่วนนี้เป็นหัวใจสำคัญของการอบรมที่สูงที่จะช่วยสร้างทักษะจริงให้กับผู้ปฏิบัติงาน โดยผู้เข้ารับการอบรมควรได้ฝึกฝนในสถานการณ์จำลองที่ใกล้เคียงกับของจริงมากที่สุด เช่น
    • การสวมใส่และปรับเข็มขัดนิรภัย : ฝึกการสวมใส่เข็มขัดนิรภัยอย่างถูกวิธีและตรวจสอบความกระชับ
    • การขึ้น-ลงบันไดและนั่งร้าน : ฝึกการใช้บันไดและนั่งร้านอย่างปลอดภัย รวมถึงการใช้อุปกรณ์ป้องกันการตกอย่างเหมาะสมขณะปฏิบัติงาน
    • การติดตั้งระบบป้องกันการตก : ฝึกการผูกเชือก, การติดตั้งจุดยึด (Anchor Point) และการใช้งานระบบเชือกช่วยชีวิต
    • การกู้ภัยเบื้องต้น : ฝึกซ้อมการช่วยเหลือผู้ที่พลัดตกจากที่สูงอย่างปลอดภัย โดยใช้เทคนิคและอุปกรณ์ที่ถูกต้อง

แนวทางปฏิบัติการอบรมที่สูงให้ปลอดภัยและผ่านการตรวจสอบ

  1. อบรมพนักงานอย่างสม่ำเสมอ
    • ก่อนเริ่มงาน : พนักงานทุกคนที่ต้องปฏิบัติงานบนที่สูง ตั้งแต่ 2 เมตรขึ้นไป ต้องผ่านการอบรมที่สูงตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด
    • ทบทวนความรู้ : ควรจัดอบรมซ้ำทุก 1–2 ปี เพื่อปรับปรุงความรู้ให้ทันสมัย และแก้ไขข้อผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นในการทำงานจริง
    • บันทึกการอบรม : เก็บหลักฐาน เช่น รายชื่อผู้เข้าอบรมที่สูง รูปถ่ายการฝึกปฏิบัติและใบรับรองการอบรม เพื่อใช้ยืนยันต่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ
  2. บังคับใช้อุปกรณ์ป้องกันการตกอย่างเคร่งครัด
    • ตรวจสอบก่อนใช้งาน : เข็มขัดนิรภัย สายรัดและจุดยึด ต้องอยู่ในสภาพดี ไม่มีรอยขาดหรือเสื่อมสภาพ
    • เลือกอุปกรณ์ให้เหมาะสม : ต้องใช้ Full Body Harness (ห้ามใช้เข็มขัดนิรภัยแบบครึ่งตัว) พร้อมอุปกรณ์ป้องกันการตก (Fall Arrest System)
    • ฝึกการใช้งานจริง : พนักงานต้องรู้วิธีการสวม ปรับและเชื่อมต่ออุปกรณ์เข้ากับจุดยึดที่แข็งแรง
  3. มีระบบอนุญาตทำงานบนที่สูง (Work Permit)
    • ขออนุญาตก่อนเริ่มงาน : ทุกครั้งที่มีการทำงานบนที่สูง ต้องมีใบอนุญาตที่ลงนามโดยผู้ควบคุมงานหรือ จป.วิชาชีพ
    • ระบุรายละเอียดชัดเจน : ใบอนุญาตควรระบุสถานที่ทำงาน เวลา อุปกรณ์ที่ใช้ มาตรการป้องกันและผู้รับผิดชอบ
    • ตรวจสอบหน้างานก่อนเซ็นอนุมัติ : เพื่อยืนยันว่ามีการจัดเตรียมความปลอดภัยครบถ้วนจริง
  4. จัดทำบันทึกและเอกสารครบถ้วน : เอกสารเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเป็นหลักฐานในการตรวจสอบ ได้แก่
    • บัตรหรือใบรับรองการอบรมที่สูงของพนักงาน
    • ทำแบบฟอร์มตรวจสอบอุปกรณ์ก่อนใช้งานทุกครั้ง
    • รายงานการตรวจสอบนั่งร้านหรือบันได โดยผู้ที่มีความรู้เฉพาะ
    • แผนกู้ภัยฉุกเฉิน (Rescue Plan) และการซ้อมกู้ภัยจริง
  5. ตรวจประเมินภายในอย่างต่อเนื่อง
    • ตรวจสอบพื้นที่ทำงาน : เช่น ความมั่นคงของนั่งร้าน ความแข็งแรงของจุดยึด และสภาพพื้นที่โดยรอบ
    • ตรวจสอบการปฏิบัติงานของพนักงาน : ว่ามีการใช้อุปกรณ์ถูกต้องตามวิธีที่อบรมที่สูงหรือไม่
    • ประเมินความเสี่ยงซ้ำ : ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น เปลี่ยนอุปกรณ์ สภาพอากาศหรือรูปแบบงาน
  6. สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร
    • ผู้บริหารต้องให้ความสำคัญ: ไม่เพียงแค่ปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ต้องทำให้พนักงานเห็นว่าความปลอดภัยเป็นสิ่งที่องค์กรให้คุณค่า
    • เปิดช่องทางรายงานเหตุการณ์เสี่ยง : เพื่อป้องกันปัญหาก่อนเกิดอุบัติเหตุจริง
    • รณรงค์ความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง : เช่น ป้ายเตือน สื่ออบรมสั้นๆ หรือการประชุม Toolbox Meeting ก่อนเริ่มงาน

วิธีเลือกสถาบันอบรมที่สูง เพื่อให้การอบรมได้ผลและผ่านการตรวจสอบ

ควรเลือกสถาบันที่มีคุณสมบัติ ดังนี้

  • ได้รับการรับรองจาก กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
  • มีผู้ฝึกสอนที่มีประสบการณ์ตรงด้านงานที่สูงและการกู้ภัย
  • มีสถานที่และอุปกรณ์สำหรับฝึกจริง ไม่ใช่สอนแต่ภาคทฤษฎี
  • มีการออกเอกสารและบัตรผ่านการอบรมที่ตรวจสอบได้

เมื่อผ่านการอบรมที่สูงแล้ว ผู้เข้ารับการอบรมควรได้รับการทดสอบทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติเพื่อให้มั่นใจว่ามีความรู้และทักษะที่เพียงพอ โดยหน่วยงานที่จัดอบรมควรออกใบรับรองการผ่านการอบรมที่มีรายละเอียดครบถ้วน เช่น ชื่อหลักสูตร, วันที่อบรม, ชื่อผู้เข้ารับการอบรม และข้อมูลผู้จัดอบรม ซึ่งใบรับรองนี้จะใช้เป็นเอกสารยืนยันเพื่อประกอบการทำงานได้ตามกฎหมาย

การทำงานบนที่สูงเป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้ การอบรมที่สูงที่ได้มาตรฐานเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร เพื่อให้ทุกคนที่ทำงานบนที่สูงสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมั่นใจและกลับถึงบ้านได้อย่างปลอดภัยในทุกๆ วัน

บริษัท บี เซฟ เทรนนิ่ง จำกัด (BE SAFE TRAINING) เราคือผู้เชี่ยวชาญด้านฝึกอบรมความปลอดภัยในการทำงาน ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001:2015 และได้รับการรับรองจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เลขที่ 13-67-098 พร้อมใบอนุญาตฝึกอบรมความปลอดภัยเกี่ยวกับไฟฟ้า เลขที่ 0301-03-2568-0028 เราให้บริการอบรมความปลอดภัย, หลักสูตรอบรม จป. หัวหน้างาน, อบรม คปอ., อบรม จป. เทคนิค, อบรมที่สูง, อบรมที่อับอากาศ, อบรมช่างไฟฟ้า, อบรมอับอากาศ 4 ผู้, อบรมปั้นจั่น 4 ผู้, อบรมเครน 4 ผู้, อบรมปฐมพยาบาล, อบรมสารเคมี และยังให้คำปรึกษาด้านระบบ ISO, ตรวจรับรองทางวิศวกรรม พร้อมห้องอบรม/สัมมนาให้เช่า

 

หากคุณกำลังมองหาหลักสูตร อบรมความปลอดภัย ครบ จบ ในที่เดียว
ติดต่อทีมงานมืออาชีพ อบรมที่สูง 
เพื่อรับคำแนะนำที่ตรงกับความต้องการของคุณวันนี้

   

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้