ทำความรู้จักกับการอบรมช่างไฟฟ้า แรงต่ำ-แรงสูง
ความต้องการช่างไฟฟ้าที่มีทักษะและความรู้ความสามารถ ทั้งในสายงานไฟฟ้าแรงต่ำและแรงสูงมีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ที่ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพและผ่านการอบรมช่างไฟฟ้าอย่างถูกต้องจะได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าและบริษัทต่างๆ แต่รู้หรือไม่? ว่าประเภทของการอบรมนี้แบ่งออกได้ทั้งไฟฟ้าแรงสูงและแรงต่ำ ซึ่งมีความแตกต่างกันอยู่มากจึงมีความจำจะต้องแยกอบรม เพราะงานไฟฟ้าทุกระดับมีความเสี่ยงต่อไฟฟ้าช็อตและอาร์กแฟลช (Arc Flash) แต่ละระดับพลังงาน ความซับซ้อนของระบบและผลกระทบ มีความต่างกันมากเมื่อแรงดันสูงขึ้น การอบรมจึงต้องแยกเพื่อให้ความรู้และวิธีควบคุมความเสี่ยงเหมาะกับบริบทจริงของงาน ทั้งด้านอุปกรณ์ป้องกัน (PPE), ระยะเข้าใกล้, วิธีตัดแยกพลังงาน, งานทดสอบและขั้นตอนอนุญาตทำงาน (Permit to Work) นั่นเอง
การอบรมช่างไฟฟ้าแรงต่ำและแรงสูงคืออะไร แตกต่างกันอย่างไร
การอบรมช่างไฟฟ้าแรงต่ำ (Low Voltage) : เป็นการฝึกอบรมเกี่ยวกับระบบไฟฟ้าที่มีแรงดันไม่เกิน 1,000 โวลต์ (V) โดยมักจะเป็นระบบไฟฟ้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป เช่น ภายในบ้านเรือน อาคารสำนักงาน ร้านค้าหรือโรงงานขนาดเล็ก จุดประสงค์หลักของการอบรมคือเพื่อให้ช่างมีความรู้และทักษะในการติดตั้ง ซ่อมบำรุง และตรวจสอบระบบไฟฟ้าได้อย่างปลอดภัยและถูกต้องตามมาตรฐาน
การอบรมช่างไฟฟ้าแรงสูง (High Voltage) : เป็นการฝึกอบรมที่มุ่งเน้นไปที่ระบบไฟฟ้าที่มีแรงดันสูงกว่า 1,000 โวลต์ (V) ขึ้นไป ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ในการส่งและจ่ายกำลังไฟฟ้าในระยะทางไกล เช่น สายส่งไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าไปยังสถานีไฟฟ้าย่อย หรือระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ใช้พลังงานสูง การทำงานกับไฟฟ้าแรงสูงมีความเสี่ยงสูงมาก จึงต้องอาศัยความรู้และทักษะเฉพาะทางที่เข้มข้นกว่างานไฟฟ้าแรงต่ำ
เนื้อหาหลักสูตรอบรมช่างไฟฟ้าแรงต่ำและแรงสูง แตกต่างกันตรงไหนบ้าง?
1. เนื้อหาร่วมที่ช่างทุกระดับควรมี
- หลักไฟฟ้าพื้นฐาน, พฤติกรรมของกระแส/แรงดัน, วงจรสามเฟส
- อันตรายจากไฟฟ้า: ช็อต, อาร์กแฟลช/บลาสต์, ไฟไหม้, ควัน/ก๊าซ
- การตัดแยกพลังงานอย่างปลอดภัย (LOTO), ตรวจสอบ “ปลอดพลังงาน”, ทดสอบก่อนสัมผัส (Test Before Touch)
- การเลือก PPE ให้เหมาะงาน (หมวก/ถุงมือฉนวน, Arc-rated clothing, แว่น/กะบังหน้า, รองเท้าฉนวน)
- การใช้ เครื่องมือวัด/เครื่องมือช่างที่มีฉนวน และมี CAT Rating ตรงกับระดับงาน
- การอ่านแบบ Single Line Diagram (SLD), ป้าย/สัญลักษณ์ไฟฟ้า, เอกสารวิธีปฏิบัติงานปลอดภัย (SOP/SWP)
- การกั้นเขต/ติดป้ายเตือน, การสื่อสารทีมงาน, การสื่อสารเหตุฉุกเฉิน
- ปฐมพยาบาลและการช่วยเหลือผู้ถูกไฟดูด/ไฟไหม้
2. เนื้อหาเฉพาะทางสำหรับอบรมช่างไฟฟ้าแรงต่ำ (LV
- โครงสร้างระบบภายในอาคาร: MDB, DB, MCC, UPS, ระบบสำรอง
- การทดสอบฉนวน, ความต่อเนื่องวงจร, วัดกราวด์/อิเล็กโทรด
- การเลือกอุปกรณ์ป้องกันกระแสเกิน/รั่ว: MCB, MCCB, ELCB/RCD, ฟิวส์ และการประสานงาน (Selectivity)
- การจัดการโหลด/พาวเวอร์แฟกเตอร์, ฮาร์มอนิก, ความร้อนสะสมในตู้
- งานซ่อมบำรุงเชิงป้องกัน (PM) และเชิงพยากรณ์ (PdM) ระดับ LV
3. เนื้อหาเฉพาะทางสำหรับอบรมช่างไฟฟ้าแรงสูง (MV/HV)
- สวิตช์เกียร์ชนิดต่าง ๆ (AIS/GIS), รีเลย์ป้องกัน, หม้อแปลงกำลัง
- พิธีการสวิตชิ่ง (Switching Procedure) : แผนสวิตชิ่ง, บทบาท ผู้สั่ง–ผู้ปฏิบัติ–ผู้ยืนยัน, การลงบันทึก
- การต่อลงดินและลัดวงจรชั่วคราว (Portable Earthing/Short-circuiting) อย่างถูกต้อง
- การควบคุม ระยะเข้าใกล้ และการกั้นเขต อันตราย/ทำงาน
- การจัดการพลังงานสะสม/การเหนี่ยวนำในบัส/สาย, ศักย์ก้าว–สัมผัส
- การทดสอบเฉพาะทาง : HiPot/VLF, ทดสอบ PD (Partial Discharge) ตามความเหมาะสม
- การตอบโต้เหตุ : อาร์กแฟลช, น้ำมัน/ก๊าซ (เช่น SF) รั่ว, ไฟไหม้สถานี
ทักษะและความรู้ที่ช่างไฟฟ้าต้องมีสำหรับการอบรมช่างไฟฟ้า
ไม่ว่าจะเป็นช่างไฟฟ้าแรงต่ำหรือแรงสูง ทักษะและความรู้พื้นฐานต่อไปนี้เป็นสิ่งจำเป็นที่ช่างไฟฟ้าทุกคนต้องมี เพื่อให้ทำงานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ดังนี้
ความรู้ด้านเทคนิค
- ความเข้าใจในทฤษฎีไฟฟ้า : ต้องเข้าใจพื้นฐานของวงจรไฟฟ้า กฎของโอห์ม กฎของเคอร์ชอฟฟ์ (Kirchhoff's Laws) และการคำนวณกำลังไฟฟ้า
- การอ่านแบบแปลนและวงจรไฟฟ้า : สามารถอ่านและทำความเข้าใจแผนผังการเดินสายไฟฟ้าและวงจรควบคุมต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง
- การใช้เครื่องมือวัด : มีความสามารถในการใช้เครื่องมือวัดค่าไฟฟ้า เช่น มัลติมิเตอร์ (Multimeter) แคลมป์มิเตอร์ (Clamp Meter) และเมกะโอห์มมิเตอร์ (Megohmmeter) ได้อย่างชำนาญ
ทักษะด้านความปลอดภัย
- การประเมินความเสี่ยง : ต้องสามารถประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการทำงานและวางแผนการทำงานเพื่อลดความเสี่ยงนั้น
- การใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) : การสวมใส่และใช้อุปกรณ์ป้องกันอย่างถูกต้องตามมาตรฐาน เช่น หมวกนิรภัย แว่นตานิรภัยและรองเท้าหัวเหล็ก
- ขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ปลอดภัย : การปฏิบัติตามขั้นตอนการทำงานที่กำหนดไว้เพื่อความปลอดภัย เช่น การตรวจสอบว่าไม่มีกระแสไฟฟ้าในวงจรก่อนเริ่มทำงาน และการติดป้ายเตือน
วิธีเลือกผู้ให้บริการอบรมช่างไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพต่อองค์กรของคุณ
- ระบุขอบเขตแรงดัน ที่สอนชัดเจน (LV/MV/HV) และสอดคล้องกับระบบขององค์กร
- ผู้สอนมี ประสบการณ์ภาคสนามจริง และ/หรือการรับรองวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง
- มี อุปกรณ์จริง/สื่อจำลอง สำหรับฝึกปฏิบัติ (ตู้สวิตช์, อุปกรณ์ LOTO, ชุดกราวด์ชั่วคราว, เครื่องมือวัด)
- เนื้อหาครอบคลุม กฎ/ระเบียบภายในประเทศและมาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้อง
- มี การสอบ/ประเมินสมรรถนะ และออก ประกาศนียบัตร ระบุระดับความสามารถ
- เสนอ คอร์ส In-house/ปรับแต่งเคส ให้เข้ากับ SLD และความเสี่ยงจริงขององค์กร
การอบรมช่างไฟฟ้าแรงต่ำและแรงสูงมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยเน้นไปที่ระบบแรงดันไฟฟ้าที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ทั้งช่างไฟฟ้าแรงต่ำและแรงสูงจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจด้านทฤษฎีไฟฟ้าที่แข็งแกร่ง และที่สำคัญที่สุดคือต้องตระหนักถึงความสำคัญของความปลอดภัยในการทำงานเพื่อลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุทางไฟฟ้า การอบรมอย่างเป็นทางการและการได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้ช่างไฟฟ้าสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยในทุกระดับแรงดันไฟฟ้า
หากคุณกำลังมองหาบริษัทที่เชี่ยวชาญการฝึกอบรมช่างไฟฟ้า ทั้งแรงต่ำและแรงสูง บริษัท บี เซฟ เทรนนิ่ง จำกัด (BE SAFE TRAINING) เราคือผู้เชี่ยวชาญด้านฝึกอบรมความปลอดภัยในการทำงาน ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001:2015 และได้รับการรับรองจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เลขที่ 13-67-098 เราให้บริการอบรมความปลอดภัย, หลักสูตรอบรม จป. หัวหน้างาน, อบรม คปอ., อบรม จป. เทคนิค, อบรมที่สูง, อบรมที่อับอากาศ, อบรมช่างไฟฟ้า, อบรมอับอากาศ 4 ผู้, อบรมปั้นจั่น 4 ผู้, อบรมเครน 4 ผู้, อบรมปฐมพยาบาล, อบรมสารเคมี และยังให้คำปรึกษาด้านระบบ ISO, ตรวจรับรองทางวิศวกรรม พร้อมห้องอบรม/สัมมนาให้เช่า
หากคุณกำลังมองหาหลักสูตร อบรมความปลอดภัย ครบ จบ ในที่เดียว
ติดต่อทีมงานมืออาชีพ อบรมช่างไฟฟ้า
เพื่อรับคำแนะนำที่ตรงกับความต้องการของคุณวันนี้